Training in this technique gives the singer access to all dynamics, with tonal clarity and flexibility. Also, training in this technique helps improve a singer’s range, endurance, stamina, breath control, resonance, vocal strength and vocal quality across all styles of music without fatigue or damage to the voice.
We accomplish these results by training the singer to find a balance between airflow and intrinsic muscular resistance, all within a resting laryngeal posture.
เทคนิคการใช้เสียงของ IVA นั้นมีมีรากฐานมากจากหลักการสอนการร้องเพลงในสมัยศตวรรษที่17 และ18 พัฒนาโดย Schola Cantorum ซึ่งเทคนิคของIVA มีเป้าหมายเพื่อที่จะพัฒนาเสียงให้นักร้องสามารถร้องเพลงออกมาได้อย่างอิสระและเป็นธรรมชาติ สามารถควบคุมเสียงจากเสียงต่ำไปหาเสียงสูงได้โดยปราศจากอาการต่างๆ เช่น เสียงแตก หรือการเปลี่ยนเสียงอย่างฉับพลัน(Flip)
การฝึกฝนด้วยเทคนิคนี้ทำให้นักร้องสามารถร้องเพลงได้อย่างคล่องตัว ทำให้นักร้องสามารถควบคุมความดัง-เบาของเสียง มีลักษณะเสียงที่ฟังชัดเจนและมีความคล่องตัว อีกทั้งเทคนิคนี้ยังช่วยให้นักร้องมีช่วงเสียงที่กว้างขึ้น การควบคุมลม การกังวานของเสียงเสียงแข็งแรงขึ้น และมีคุณาพเสียงที่ดีเพื่อเอาไปใช้ในการร้องเพลงสไตล์ต่างๆโดยที่ไม่เหนื่อยและไม่ทำให้เสียงเสียหาย
โดยการฝึกฝนเพื่อให้ผู้เรียนสามารถหาความสมดุลของการใช้สายเสียงและลม รวมไปถึงระดับของกล่องเสียงที่สบายต่อการร้องเพลงอีกด้วย
ฉะนั้นเมื่อนักเรียนมาเรียนจะได้รับการตรวจเช็คประเมินการใช้เสียง (Vocal Assessment) เพื่อหาแนวโน้มการใช้เสียง (Vocal Tendency) ของตนเองและครูจะร่วมวางแผนเป้าหมายร่วมกับผู้เรียนเพื่อที่จะนำมาออกแบบ“แบบฝึกหัดเสียง” (Vocalize) ที่เหมาะสมและแก้ไขปัญหาเฉพาะรายบุคคลเพื่อพัฒนาเสียงร้องหรือเสียงพูดให้มีคุณาพเสียงที่ดีขึ้น สร้างความยืดหยุ่นของเสียงเพื่อให้ใช้งานในช่วงเสียงต่างๆได้อย่างคล่องตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่บริเวณจุดรอยต่อของเสียง(Passage) เพื่อขยายช่วงเสียง (Vocal Range)ให้กว้างมากพอที่ร้องเพลงต่างๆได้สบายมากขึ้น